วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

5 แพร่ง

 Photobucket
           
              ห้าแพร่งเป็นหนังผี 5 เรื่อง ซึ่งเคยโด่งดังมาแล้วจาก 4 แพร่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่พูดกันหนาหูว่า
ไม่ดี 
และไม่น่ากลัวเท่า 4 แพร่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนเกิดความคาดหวัง และผิดหวังเมื่อได้ดู
แต่สำหรับฉันเรื่อง 
5 แพร่ง เป็นหนังผีเรื่องแรกที่ประทับใจ และให้ข้อคิดหลายอย่างต่างจากการ
ดูหนังให้เกิดความกลัวเพียง
อย่างเดียว



แพร่งแรก หลาวชะโอน
          หลาวชะโอนเป็นชื่อของพรรณไม้ชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นปาล์มขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์
กลางลำต้น
ประมาณ 10-15 เซนติเมตร และสูงได้ถึง 25 เมตร ด้วยความสูงนี้เมื่อชาวบ้านมอง
ไกลๆ หรือเผินๆ
 จึงเห็นความคล้ายคลึงกับ "ผีเปรต" และยังใช้ทำเสาสำหรับทำพิธีชิงเปรตอีกด้วย
ซึ่งเป็นที่มาที่แท้จริงของชื่อเรื่องแพร่งนี้
          
หลาวชะโอนเริ่มเรื่องเปิดตัวละครโดยการใช้ข้อมูลข่าวสารที่ทุกคนเคยติดตาม และสนใจทำให้เนื้อเรื่องมีความเป็นเหตุเป็นผล เร้าให้คนดูรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับภาพยนตร์ด้วย ข่าวสาร
ที่ผู้กำกับคนนี้
หยิบยกมาใช้ในการผูกเรื่อง คือ แก๊งปาหิน โดยให้ตัวละครนำนั้นเป็นหนึ่งในวัยรุ่นคึกคะนองที่มุทะลุ และไร้จิตสำนึก ซึ่งช่วงวัยของวัยรุ่นแรกเริ่มนั้นส่วนใหญ่จะติดเพื่อน และถูกชักจูง
ได้ง่าย ยิ่งกรณีอย่างเป้นั้น ครอบครัวแตกแยก และ
ไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีนัก จึงทำให้หลงไปใน
ทางที่ผิดเพียงเพราะความคิดง่ายๆ ที่อยากได้มือถือใหม่ ตัดสินใจลงทุน
โดยใช้หินเพียงก้อนเดียว
และก้อนนั้นเขาไม่สนใจว่ามันจะทำร้ายใครหรือพรากชีวิตใคร จวบจนบังเอิญว่าเหยื่อรายนั้น
เป็นพ่อ
ของเขาเอง ทุกคนอาจคิดว่าเมื่อเสียพ่อไป และแม่พาหนีไปบวชเณรเขาจะคิดได้ กลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ แต่เป้
ไม่ได้เป็นเช่นนั้น 
         
เรื่องราวต่อมาผู้กำกับได้เชื่อมโยงเข้ากับประเพณีไทยที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันนั่นคือ ประเพณี
ชิงเปรต 
โดยให้ตัวละครที่ไม่เคยกลัวสิ่งใดได้เจอเปรต จนไม่อาจทนอยู่ในวัดได้อีก ก่อนที่เขาจะ
หนีไป หลวงพี่รูปหนึ่งได้พูดประโยค
ที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องนั่นคือ "ไม่ว่าเณรจะเห็นอะไร ทั้งที่
เคยเห็น และยังไม่ได้เห็น มันมี แต่ไม่จริง" (คำพูดอาจไม่ตรงตามที่พูดนัก 
แต่เนื้อความคร่าวๆ คือประมาณนี้ ต้องขออภัยด้วย) ปริศนาธรรมนี้หมายถึง สิ่งที่บอกว่ามันมี คืออารมณ์ความรู้สึก
การกระทำทางด้านความโลภ โกรธ หลง มันไม่จริง เพราะมันไม่จีรัง มันเกิดแล้วก็ดับไป ส่วนที่
มันมีอยู่
จริงนั้นคือ "กรรม" กรรมนั้นไม่มีรูปร่าง ไม่มีลักษณะมันอยู่รอบทิศทางคอยตอบสนองการ
กระทำของเรา 
เช่นเดียวกับเป้ที่ฆ่าพ่อ ว่าแม่ ทำร้ายพระสงฆ์ และฆ่าสัตว์เป็นเหตุให้สุดท้าย เขามี
ความหวาดกลัวที่แท้จริงเมื่อใกล้จะตาย 
นั่นคือ ความเกรงกลัวต่อบาป ดังนั้นเรื่องนี้จึงสอนให้เรา
ทุกคนทำดีเมื่อยังไม่สาย มีสติในการดำรงชีวิต และไม่ยึดติดกับ
ค่านิยมทางวัตถุ

แพร่งที่สอง ห้องเตียงรวม
            เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันชอบน้อยที่สุด เนื่องจากการดำเนินเรื่องของเขานั้นขาดความเป็นเหตุ
เป็นผล 
และแก่นเรื่องไม่ชัดเจน แต่...ฉันก็ชื่นชมในการเปิดเรื่อง การดึงความเชื่อของคนมาใช้ในการดำเนินเรื่อง และการแบ่งแยกโจทย์ออกเป็นสองหัวข้อ
            
การเปิดเรื่องของห้องเตียงรวมเริ่มต้นด้วยเสียงบิดมอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็วสูงกับภาพล้อ
สี่ล้อที่แล่นอยู่
ในอาคารแห่งหนึ่ง แล้วตัดฉากเป็นแดนกำลังทำแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุสื่อให้เห็นว่า
การขับขี่ด้วยความรวดเร็ว รวมถึงความประมาท เส้นทางที่ล้อจะแล่นไปไม่ใช่จุดหมายที่ต้องการ
หากแต่เป็นโรงพยาบาล ซึ่งผลอาจจะพิการหรือเสียชีวิตก็ได้
 เมื่อเปิดฉากใหม่เป็นห้องพิเศษ
แบบเตียงรวม 3 เตียง ข้างขวานั้นเตียงชำรุด และข้างซ้าย คือคนไข้สูงอายุ
ที่รอให้ญาติมาดูใจ
ซึ่งเตียงนี้เองที่ผู้กำกับ แบ่งออกเป็นสองโจทย์ นั่นคือ คนไข้เตียงซ้ายเป็นคนเล่นของ และแดน
เป็นตัวแทนของ
ความอยากรู้อยากเห็น การเล่นของนั้นถือเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่ง ซึ่งคน
ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพล้วนไขว้เขวไปเข้าร่วมได้ทุกคน 
เพราะพวกเขาต้องการที่พึ่งพา
สิ่งที่สามารถตอบสนองหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเขาได้ทันที เมื่อพึ่งพามากเข้าๆ ในที่สุดจึงกลาย
เป็นความงมงาย
เสมือนลัทธิหนึ่ง สำหรับอีกกรณีนั้นแตกต่างออกไป นอกเหนือจากการพึ่งพา
และหาแหล่งยึดเหนี่ยวนั้นคือ ความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งอุปนิสัย
นี้นั้นเป็นอันตรายอย่างมาก
หากใช้ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เพราะคนกลุ่มนี้มักจะลงมือลองด้วยตนเอง เช่น การเสพยาเสพติด
การเข้าไป
พัวพันเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย และการเล่นของ ซึ่งผลสรุปที่ได้รับคือ การสูญเสียอนาคต
ของตัวเอง หรือแม้แต่เสียชีวิต



แพร่งที่สาม Back Packer

           เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ชื่นชมการตั้งชื่อที่สามารถแปลความได้สองอย่างคือ นักเดินทาง
แบบแบกเป้ และคนบรรจุของ โดยผู้กำกับจับความหมาย
ทั้งสองอัน และข่าวดังเมื่อไม่นานมานี้
มาผูกเรื่องเข้าด้วยกัน โดยเริ่มจากนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นยืนโบกรถเพื่อเข้ากรุงเทพ จนได้อาศัย
รถขนส่งอาหารแช่แข็ง 
ที่แอบลักลอบบรรทุกคนเข้าเมือง และยาเสพติดโดยให้พวกเขากลืนลงไป
ซึ่งต่อมาได้เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจทั้งหมด
แน็ก และบี๋สามโทน จึงช่วยกันขนศพออก
จากท้ายรถ แต่ปรากฎว่า ศพเหล่านั้นกลายเป็นซอมบี้ไล่ฆ่า และกัดกินมนุษย์จนเหลือเพียง
แน็ก
ผู้หญิงญี่ปุ่น และเด็กผู้ชายอีกหนึ่งคน ที่ทำตัวใสซื่อให้เธอหลงเชื่อว่าตนยังไม่ตาย และปกป้องเขา
จากการมุ่งร้ายของแน็ก เป็นเหตุให้เธอตัดสินใจยิงเขาในที่สุด
           
หลายคนอาจมองว่าเนื้อเรื่องดูประหลาด แต่สำหรับฉันผู้กำกับคนนี้สื่อความออกมาได้ดี
ทีเดียว นั่นคือ การตีค่าความเป็นมนุษย์ของพวกค้าแรงงาน
กับการก่อให้เกิดการสูญเสียความเป็น
มนุษย์มารวมเข้าไว้ด้วยกัน เพราะคนที่ค้ามนุษย์พวกเขาไม่ได้มองผู้ที่ถูกกระทำเป็นมนุษย์เสีย
ด้วยซ้ำ ตีค่าความเป็นคนต่ำกว่าตน 
เพียงเพราะพวกเขามีโอกาสในการลืมตาอ้าปากน้อยกว่า
และยาเสพติดที่ทำให้ทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ถ้าเสพเข้าไปก็จะขาดสติ ไม่ต่างกับการตายทั้งเป็น 

ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี อย่างที่ผู้กำกับเลือกสื่อโดยการให้เด็กที่เสพแล้วไม่มีความใสสมวัย และฉาก
สุดท้ายกระโดดกัดพระ แทนที่จะเป็นชาวบ้านทั่วไป แสดงถึงการขาดศีลธรรม 
ดังนั้นทั้งสองกลุ่มนี้
ล้วนเป็นเหตุให้สังคมเสื่อมทรามลงทั้งสิ้น
แพร่งที่สี่ รถมือสอง

              รถมือสองเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปนั้นก็คือ เต้นท์รถบ้าน ซึ่งมีปม
ประเด็นที่ชวนให้หลายคนต้องกลับไปคิดว่า
ความน่าเชื่อถือของรถเหล่านี้ ตรงตามที่ผู้ขายบอก
หรือไม่ ซึ่งการเริ่มเรื่องนั้นทิ้งไพ่เอาไว้ให้คิดได้ดีมาก นั่นคือ มีคนเอารถมาคืนแล้วกล่าวว่า 

เพราะรถคันนี้ทำให้ลูกเขาเกือบตาย เนื่องจากเต้นท์รถแห่งนี้นั้นนำรถที่ประสบอุบัติเหตุมายก
เครื่องแล้วทำให้ดูเหมือนใหม่ ก่อนจะนำมาขายทอดตลาด 
ซึ่งถือเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค
ไม่ใช่แค่ว่าคุณอาจจะเจอเรื่องเร้นลับ หากจุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นคือ ถึงแม้รถจะทำออกมา
ดูดีเพียงใด แต่สภาพที่เคยประสบมาก่อน 
ย่อมเป็นความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุก็มีสูงมาก
เช่นเดียวกัน แต่ตัวละครในเรื่องนั้นไม่ได้ตระหนักเรื่องนี้เลย จนกระทั่งลูกของตนเองเล่นอยู่
ที่ลานจอดรถแล้วหายไป 
เธอตามหาจนทั่วก็ไม่เจอ ประกอบกับความหวาดกลัวต่อสิ่งเร้นลับ
เธอจึงตัดสินใจสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับหนีออกไป แต่รถแล่นไปได้เพียงนิดเดียวก็หยุด
เมื่อลงมาดูก็พบรองเท้า 
หล่นอยู่ใต้กระโปรงหน้าของรถ พร้อมกับเลือดที่ไหลหยดลงมา
เมื่อเปิดออกดูกลับเป็นลูกชายของเธอที่ติดอยู่ในเครื่องยนต์ ซึ่งถือเป็นกรรมอย่างหนึ่ง
ที่ไม่คิดถึง
ความปลอดภัยของคนอื่นของครอบครัวที่เขาซื้อรถไป และเป็นการปิดไพ่ใบที่เปิด
เอาไว้ให้เห็นว่า เมื่อสูญเสียจึงจะตระหนักได้ว่าลูกของคนอื่นก็มีความสำคัญเท่าๆ กับลูกของ
ตนเอง 
เช่นเดียวกับแพร่งแรกที่ถ้าไม่สูญเสียคนที่รักก็จะไม่ตระหนักถึงการกระทำของตนเอง

แพร่งสุดท้าย คนกอง
             เรื่องคนกองถือเป็นสีสันของเรื่องห้าแพร่งเลยก็ว่าได้ เนื่องจากมีทั้งความน่ากลัว
และความตลกขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาช่าซึ่งรับบทเป็นตนเองที่กำลัง
ถ่ายทำ
เรื่องแฝดสองอยู่ หลายคนชื่นชอบเธอขึ้นอย่างมากจากการดูเรื่องนี้ ฉันเองก็เช่นเดียวกัน
เพราะการแสดงที่เป็นธรรมชาติ และการเข้ากันได้ของตัวละครทุกตัว ยิ่งช่วยทวีความสนุกสนาน
ให้มีมากขึ้น 
หลายคนอาจจะคิดว่าสรุปแล้วเรื่องคนกองนี้มีแต่ความตลกเพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่
ฉันคงต้องตอบว่า ไม่ใช่ เพราะเรื่องนี้สะท้อนใกล้ตัวเรามากๆ ผู้กำกับนั้นกำลังเล่นกับความรู้สึกนึกคิด
ของคนดูอยู่ โดยการป้อนข้อมูลทีละนิดให้เข้าใจ และเชื่อต่อคำบอกเล่า ทำเช่นนี้ไป
จนกระทั่งจบเรื่อง ซึ่งจริงๆ แล้วคนเราควรจะคิดให้มากขึ้น และอย่าพึ่งเชื่อคำพูดของใคร เพราะสิ่ง
ที่เราเห็นด้านเดียว
อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด หรือเข้าใจ การมีสติไตร่ตรอง วิเคราะห์ ค้นหาคำตอบ
และควรรับข้อมูลที่ถูกต้อง และเชื่อถือได้เสมอก่อนตัดสินใจพูด หรือลงมือกระทำ
ป.ล. การดูภาพยนตร์แนวสยองขวัญนี้หากดูแล้วเกิดความกลัวเพียงอย่างเดียว หนังเรื่องนั้น
อาจประสบความสำเร็จตามความคิดของคนอื่นๆ แต่สำหรับฉันหนังที่ทำให้คนหวาดกลัว
และสะท้อนข้อคิดต่างๆ ทีเป็นการพัฒนาจิตใจของคนให้ดีขึ้นด้วยด้วยนั้น หนังเรื่องนั้น
ประสบความสำเร็จสูงสุดในเชิงคุณค่าอย่างแท้จริงการวิเคราะห์ของฉันอาจจะผิดหรืออาจ
จะถูกก็ได้ ดังนั้นนี่เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นเพียงเท่านั้นนะคะ

Credit : Morale2Khwan

The Devil

        Photobucket
          The Devil หรือชื่อภาษาเกาหลีว่า (มาวัง) เป็นละครเกาหลีอีกเรื่องที่ทำให้ฉันประทับใจ และไม่อาจละสายตาได้ หากถามว่าเป็นละครที่สมบูรณ์แบบถึงขั้นไม่อาจติได้หรือไม่ คงต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า "ไม่" ถึงแม้ว่าจะมีจุด และประเด็นให้วิพากษ์พอสมควรก็ตาม แต่โดยรวมนั้น ละคร
เรื่องนี้เป็นละครคุณภาพจริงๆ ไม่ว่าจะนักแสดงนำทั้งสามคน เนื้อเรื่อง ภาพ เพลง ทุกอย่างลงตัวจน
ลืมข้อผิดพลาดจุดเล็กจุดน้อยนั้นไปได้
         The Devil เป็นละครแนวฆาตกรรม สืบสวนสอบสวน ที่มีการวางโครงเรื่องค่อนไปทางแฟนตาซีนิดๆ ทุกฉากทุกตอนต้องดูอย่างจริงจัง และอย่ากระพริบตา เพราะนอกจากจะต้องอ่านซับซึ่งมีข้อความเนื้อหาที่สำคัญตลอดทั้งเรื่องแล้ว ภาพบางภาพเพียงจุดเดียวก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมด รวมถึงเข้าใจความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัวได้ด้วย ละครรูปแบบนี้อาจไม่เป็นที่ถูกใจนักสำหรับคนที่ชื่นชอบแนวรักโรแมนติก สาเหตุเนื่องมาจาก The Devil สอดแทรกเนื้อหา สาระ และความรู้ไว้จนแน่นเอี๊ยด ข้อมูลทุกด้านผ่านการค้นคว้าแล้วนำมาบูรณาการเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไพ่ทาโร่ต์ ที่ตัวละครหลักต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของไพ่ แต่ละใบที่ฆาตกรส่งมาให้ก่อนจะลงมือกระทำการฆาตกรรม โดยมีนางเอกซึ่งมีความสามารถพิเศษในการล่วงรู้เหตุการณ์ต่างๆ จากการสัมผัสเป็น ผู้แจกแจงความหมายของไพ่     
            ด้านความเชื่อ ตำนานของศาสนาคริสต์ และวรรณกรรม จากการพูดคุยระหว่างตัวละครเอกสองตัว ที่กล่าวถึงเทวดา และซาตาน ซึ่งนำไปสู่ข้อมูลทางสถาปัตยกรรมคือ The Gates of Hell หรือประตูนรก เป็นอนุสาวรีย์ประติมากรรม โดย Auguste Rodin ศิลปินชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก The Inferno ฉากแรกของ Dante Alighieri's Divine Comedy ละครเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เพียงนำผลงานด้านศาสนา มานำเสนอให้ดูโดดเด่น หรือสนใจมากขึ้น แต่ต้องการชี้ให้เห็นความหมายที่แท้จริงจากผลการกระทำของตัวละครในท้ายสุดของเรื่อง เนื่องจากเหนือประตูนรกจะมียมบาลนั่งเท้าคางและหลับตานิ่งอยู่ราวกับรอการพิพากษา แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขานั่นเองที่เป็นผู้พิพากษา ซึ่งผู้แต่งสะท้อนความสับสน ความต้องการภายในจิตใจ และการกำหนดวางชะตาชีวิตของตัวละครได้อย่างแยบยล แม้เขาจะคอยขีดเส้นให้ผู้อื่น แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่ช้าไม่นานเขาเองก็ต้องรับผลของการกระทำนี้เช่นกัน
          หลังจากได้ดู The Devil จนจบแล้ว ทำให้คิดได้ว่าชื่อเรื่องสื่อถึงตัวละครทุกตัวในเรื่อง เพราะมนุษย์ทุกคนในโลกล้วนมีปีศาจ หรือด้านมืดอยู่ในใจทุกคน เพียงแต่จะแสดงออกมาในรูปแบบใด ปีศาจในที่นี้ไม่เว้นแม้แต่ความเห็นแก่ตัว ความรัก และความสงสาร เพราะความรู้สึกทั้งสามประการนี้ถูกหล่อหลอมเข้าไว้ด้วยกันจนแทบแยกไม่ออก ซึ่งนำไปสู่ความเจ็บปวดในที่สุด
          เมื่อพูดถึงความรัก ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าคนที่ชอบละครแนวรักโรแมนติกจะไม่ค่อยปลื้มเรื่อง
นี้นัก แต่ถ้าหากได้ดูแล้วจะเห็นว่าเรื่องนี้ถูกโอบล้อมไว้ด้วยความรักตลอดทั้งเรื่อง และมีความสม
จริงมากอีกเรื่องหนึ่งเนื่องจากความสัมพันธ์ของตัวละครหลักทุกตัว แสดงความรักออกมาแบบไม่หวือหวา ไม่โจ่งแจ้ง แต่กลับทำให้คนดูอมยิ้มได้ และจุกอยู่ภายในอก เพราะเข้าใจ และรู้สึกอึดอัดที่รักแต่

ไม่อาจพูดได้ไปกับตัวละครนั้นๆ ด้วย ทั้งความรักแบบหนุ่มสาว ความรักระหว่างพี่น้อง หัวหน้ากับ
ลูกน้อง พ่อกับลูก และความรักระหว่างเพื่อน ที่ถึงแม้จะทำผิดมากมาย ภายนอกราวกับเกลียด หรือ
ดุว่าเพียงใด แต่ในใจนั้นรัก และห่วงใย พร้อมที่จะให้อภัยอยู่เสมอ แต่เรื่องนี้ตัวละครทุกตัวบกพร่อง

ด้านความรักเพียงอย่างเดียว คือความรักที่มีให้ตนเองซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท คือประเภทขาด
จึงมีความว้าเหว่ ไม่ภูมิใจ และโทษตัวเองตลอดเวลา กับอีกประเภทคือให้มากจนเกินไป จนกลาย
เป็นคนเห็นแก่ตัว โลภมาก และรักความสบาย 
            ละครบางเรื่องถูกตัดสินคุณค่าจากความรู้สึกของผู้ชม โดยไม่ทันได้คิดถึงข้อคิดที่ได้รับเลย
สักนิด The Devil 
เป็นเหมือนเสียงกระซิบบอกให้เราทุกคนทราบว่าผลของการกระทำนั้นตามเรามาเร็วมากเพียงใดรวมทั้งสอนให้รู้จักคิด มีสติ ไม่ฝังจิตใจไว้กับความแค้น เพราะสิ่งที่คิด หรือบางครั้งสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ การตัดสินใจจากข้อมูลเพียงด้านเดียว ไม่ว่าจะยึดจากคำบอกเล่า ทัศนคติ หรือความคิดของตนเอง ล้วนนำมาแต่ความทุกข์ และความเสียใจทั้งสิ้น เพราะถึงน้ำแข็งในหัวใจจะเริ่มละลาย แต่มันก็สายเกินไปที่จะแก้ไขให้ถูกต้อง ดังนั้นฉากจบของเรื่องจึงเป็นฉากที่น่าประทับใจที่สุด สมเหตุสมผลที่สุด และน่าสงสาร
ที่สุด The Devil จึงเป็นละครอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้ดูกันเยอะๆ เพราะนอกจากจะสนุก ลุ้นระทึกกับนักแสดงคุณภาพคับจอแล้ว ยังได้ความรู้ และข้อคิดอีกมากมายด้วย
 .สิ่งที่นำเสนอเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่อยากจะบอกเล่าตามมุมมองของตนเอง ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับทัศนคติของคนอื่นๆ ก็ได้ แต่อย่างที่เคยกล่าวไว้ใน Vacation ว่า ไม่ว่าละคร หรือหนังสือเรื่องใดที่ให้มากกว่าความบันเทิง สื่อนั้นๆ ย่อมช่วยพัฒนาจิตใจและมีคุณค่าทั้งสิ้น
Credit : Morale2Khwan